โปเกม่อน ในตำนาน
1.ตำนานปีกมายาทั้งสาม
จุดกำเนิด
เชื่อกันว่าลูเกีย (Lugia) เป็นผู้ให้กำเนิดโปเกมอนนกในตำนานทั้งสาม แต่ไม่มีการพูดถึงว่ากำเนิดมาได้อย่างไรหรือมาจากโปเกมอนชนิดใด นอกจากนี้ลูเกียนั้นยังเป็นผู้ที่คอยหยุดยั้งหากเหล่านกในตำนานทั้งสามตัวเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา จนการต่อสู้รุนแรงและเดือดร้อนต่อมนุษย์และโปเกมอนตัวอื่นๆ อีกด้วย
ซึ่งเป็นต้นแบบโปเกมอนในตำนาน ที่มี3ธาตุที่ประกอบด้วยกันแต่มีความเกี่ยวข้องกันซึ่งใน wiki เรียกว่า Legendary trio
ซึ่งปีกมายาทั้งสามทุกคนคงรู้จักดีก็คือ
Zapdos ทันเดอร์ Articuno ฟรีซเซอร์ Moltres ไฟร์เยอร์ (ผมขอใช้ชื่ออังกฤษนะครับในบางตัวที่ไม่แน่ใจ)
ซึ่งในเกมจะอาศัยอยู่ที่ไม่เหมือนกันกับในอนิเมชั่น
โดยขอเล่าโดยเอาอนิเมเป็นหลักแล้วกันในอนิเมทั้งสามอาศัยอยู่ในเกาะที่อยู่ที่ Shamouti Island โดยมีแต่ละตัวจะอยู่ของเกาะตัวเอง ซึ่งทั้งสามตัวนี้ไม่ถูกกัน แต่ด้วยว่าทั้งสามเป็นตัวควบคุมสมดุลของอากาศในโลก ทำให้สมดุลถ้ามีตัวไหนขาดหายจะทำให้สมดุลของอากาศในโลกเสียแล้วนำพาหายนะมาโลก
ซึ่งพอเข้าจุดนั้นก็จะทำให้เจ้าสมุทรหรือ ลูเกีย ตื่นขึ้นมาคอยยับยั้งทั้งสาม
ทีนี้เรามาดูข้อมูลของโปเกม่อนทั้งสามทีละตัวกันเลยนะครับ
จุดกำเนิด
เชื่อกันว่าลูเกีย (Lugia) เป็นผู้ให้กำเนิดโปเกมอนนกในตำนานทั้งสาม แต่ไม่มีการพูดถึงว่ากำเนิดมาได้อย่างไรหรือมาจากโปเกมอนชนิดใด นอกจากนี้ลูเกียนั้นยังเป็นผู้ที่คอยหยุดยั้งหากเหล่านกในตำนานทั้งสามตัวเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา จนการต่อสู้รุนแรงและเดือดร้อนต่อมนุษย์และโปเกมอนตัวอื่นๆ อีกด้วย
ฟรีซเซอร์
เป็นโปเกม่อนในตำนานของเขตคันโตประเภท น้ำแข็ง/บิน มีลักษณะเป้นนกขนสีน้ำเงิน มีปีกน้ำแข็งทั้งสองแข็ง เวลากระพือทำให้อากาศรอบตัวหนาวเย็น จนเกิดเป็นหิมะตก
ชื่อของฟรีซเซอร์ มาจากภาษาอังกฤษ Freeze ซึ่งหมายถึงแช่แข็ง ส่วนชื่อภาษาอังกฤษ Articuno มาจากคำว่า arctic ซึ่งหมายถึงขั้วโลกเหนือ ผสมกับคำว่า uno ที่แปลว่า หนึ่ง ในภาษาสเปน
ธันเดอร์
ธันเดอร์ โปเกมอนบิน-ไฟฟ้าสีเหลืองขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในควบคุมและปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ธันเดอร์มีขธันเดอร์ โปเกมอนบิน-ไฟฟ้าสีเหลืองขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในควบคุมและปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ธันเดอร์มีขนสีเหลืองรูปร่างคล้ายหนามแหลมพร้อมกับจงอยปากสีส้มยาวและขาสองข้างที่สีเดียวกับปาก เมื่อธันเดอร์ขยับปีกจะเกิดกระแสไฟฟ้าซึ่งสามารถกลายเป็นพายุฟ้าคะนองได้ หากธันเดอร์บินผ่านที่ใดจะมีเสียงดังที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านอากาศ มีคนกล่าวกันว่าพบเห็นธันเดอร์อยู่กลางพายุฝนฟ้าคะนองสีเหลืองรูปร่างคล้ายหนามแหลมพร้อมกับจงอยปากสีส้มยาวและขาสองข้างที่สีเดียวกับปาก เมื่อธันเดอร์ขยับปีกจะเกิดกระแสไฟฟ้าซึ่งสามารถกลายเป็นพายุฟ้าคะนองได้ หากธันเดอร์บินผ่านที่ใดจะมีเสียงดังที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านอากาศ มีคนกล่าวกันว่าพบเห็นธันเดอร์อยู่กลางพายุฝนฟ้าคะนอง
ชื่อของธันเดอร์มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Thunder ส่วนชื่อ Zapdos นั้นมาจากคำว่า zap ที่แปลว่าพลังงาน รวมกับคำว่า dos ที่แปลว่า สอง ในภาษาสเปน
ไฟร์เออร์
ไฟเยอร์เป็นโปเกมอนบิน-ไฟสีส้มทอง มีจงอยปากสีส้มยาว และลูกไฟตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่นปีก หาง และบนหัวที่คล้ายมงกุฎ ไฟเยอร์มีความสามารถในการควบคุมไฟ ซึ่งเพียงแค่ขยับปีกก็สามารถสร้างลูกไฟขนาดยักษ์ได้ หากไฟเยอร์ได้อาบลาวาภูเขาไฟก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ มีผู้กล่าวกันว่าไฟเยอร์เป็นผู้ที่ทำให้อากาศอบอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิ
2.Mew และ Mew Two
Mew
โปเกมอนพลังจิต สุดยอดโปเกมอนหายากตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้มีนิสัยรักสนุก ขี้เล่น ว่ากันว่าได้สูญหายไปแล้วแต่จริงๆแล้วยังคงมีหลงเหลือแต่พบได้ยากละในเกมมิวเป็นโปเกมอนที่ทุกคนอยากได้เพราะมันเล่นรู้ท่า TM HM ได้ทุกท่าอีกทั้งยังเป็นต้นแบบของ มิวทูอีกด้วย ในมูวี่มิวมีความเกี่ยวข้องกับต้นไม้โลกว่ากันว่ามิวก็เป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งต้นไม้โลก
โปเกมอนพลังจิต สุดยอดโปเกมอนหายากตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้มีนิสัยรักสนุก ขี้เล่น ว่ากันว่าได้สูญหายไปแล้วแต่จริงๆแล้วยังคงมีหลงเหลือแต่พบได้ยากละในเกมมิวเป็นโปเกมอนที่ทุกคนอยากได้เพราะมันเล่นรู้ท่า TM HM ได้ทุกท่าอีกทั้งยังเป็นต้นแบบของ มิวทูอีกด้วย ในมูวี่มิวมีความเกี่ยวข้องกับต้นไม้โลกว่ากันว่ามิวก็เป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งต้นไม้โลก
Mew Two
Mew two
เป็นโปเกมอนที่เกิดจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยการโคลนจากเชื้อของมิว
แล้วนำมาตัดต่อพันธุ์กรรมให้มีความสามารถมากกว่าในอนิเม มิวทูมีความคิด ความอ่านเหมือนมนุษย์เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถสื่อสารกับมนุษย์ด้วยพลังจิต
มิวทูในอนิเมนั้นต้องการล้างแค้นทั้งมนุษย์และโปเกมอนและสร้างโลกที่มีแต่โปเกมอนทีถูกสร้างด้วยการโคลนแต่สุดท้ายก็เลิกล้มความตั้งใจ
สามารถดูเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ มิวและมิวทู ได้ที่นี่
____________________________________________________________
Mew two
เป็นโปเกมอนที่เกิดจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยการโคลนจากเชื้อของมิว
แล้วนำมาตัดต่อพันธุ์กรรมให้มีความสามารถมากกว่าในอนิเม มิวทูมีความคิด ความอ่านเหมือนมนุษย์เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถสื่อสารกับมนุษย์ด้วยพลังจิต
มิวทูในอนิเมนั้นต้องการล้างแค้นทั้งมนุษย์และโปเกมอนและสร้างโลกที่มีแต่โปเกมอนทีถูกสร้างด้วยการโคลนแต่สุดท้ายก็เลิกล้มความตั้งใจ
สามารถดูเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ มิวและมิวทู ได้ที่นี่
____________________________________________________________
3.ปีกสีรุ้ง และปีกสีน้ำเงิน
Ho-oh ปีกสีรุ้ง
guardian of the skies
ชนิด ไฟ / บิน
โอโฮ เป็นโปเกมอนในตำนานตัวแรกที่ซาโตชิเห็น โอโฮเป็นโปเกมอนตำนานประจำเมือง Ecruteak City ซึ่งอศัยอยู่บนยอดสุดของหอคอยว่ากันว่าแต่ก่อนโอโฮอยุ่ร่วมกันกับมนุษย์แต่หลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้หอคอย ก็หายไปเลย ว่ากันว่าไฟของโอโฮเป็น ไฟแห่งชีวิต ซึ่งถ้าเปรียบโอโฮก็คัดแปลงมาจากตำนานนกฟินิกซ์นั่นเองซึ่งท่าที่เป้นเอกลักษณ์เฉพาะโอโฮก็คือ Sacred Fire หรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์
จากข้อมูลโปเกมอนใน Pokémon Movie 2015 ที่มีโปเกมอนในตำนานปรากฏออกมามากมายแต่กลับไม่มีโฮโอเลย ย่อมทำให้หลายคนข้องใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมโฮโอถึงไม่ออกมาในมูฟวี่ซักที แต่ถ้าหากมาวิเคราะห์เรื่องราวระหว่างซาโตชิกับโฮโอกันดีๆ น่าจะได้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มากทีเดียวล่ะครับ
ในตอน ポケモン! きみにきめた!(โปเกมอน! ฉันเลือกนาย!) ซึ่งเป็นตอนที่ซาโตชิออกเดินทางวันแรก เขาได้เห็นโฮโอบินพาดผ่านสายรุ้ง ในตอนนั้นสมุดภาพโปเกมอนก็ไม่สามารถบอกข้อมูลได้ว่ามันคือโปเกมอนอะไร และแม้ซาโตชิจะเล่าให้ดร.โอกิโดะฟัง แต่ดร.ก็ไม่เชื่อ จึงเป็นโปเกมอนลึกลับที่ค้างคาใจซาโตชิเรื่อยมา
ฉากนี้คงจำได้ดี
แล้วเมื่อซาโตชิได้มาที่ภูมิภาคโจโตจนถึงเอ็นจูซิตี้ในตอน やけたとう!マツバとうじょう!!(หอไฟไหม้! มัตสึบะปรากฏตัว!) ซาโตชิได้หลงเข้ามาที่หอไฟไหม้แล้วพบกับมัตสึบะ ซาโตชิได้บังเอิญไปเห็นภาพโฮโอบนผนังแล้วได้บอกกับมัตสึบะว่าเคยเห็นโปเกมอนตัวนี้ มัตสึบะตกใจกับที่ซาโตชิพูด แล้วบอกว่าโปเกมอนตัวนี้คือ “โฮโอ” ซึ่งเป็นโปเกมอนในตำนาน แต่มัตสึบะไม่เชื่อว่าซาโตชิเคยเห็นโฮโอจริงๆ เนื่องจากว่าโฮโอได้หายสาบสูญไปเมื่อ 300 ปีก่อนแล้ว
ในตอนที่ 182
guardian of the skies
ชนิด ไฟ / บิน
โอโฮ เป็นโปเกมอนในตำนานตัวแรกที่ซาโตชิเห็น โอโฮเป็นโปเกมอนตำนานประจำเมือง Ecruteak City ซึ่งอศัยอยู่บนยอดสุดของหอคอยว่ากันว่าแต่ก่อนโอโฮอยุ่ร่วมกันกับมนุษย์แต่หลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้หอคอย ก็หายไปเลย ว่ากันว่าไฟของโอโฮเป็น ไฟแห่งชีวิต ซึ่งถ้าเปรียบโอโฮก็คัดแปลงมาจากตำนานนกฟินิกซ์นั่นเองซึ่งท่าที่เป้นเอกลักษณ์เฉพาะโอโฮก็คือ Sacred Fire หรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์
จากข้อมูลโปเกมอนใน Pokémon Movie 2015 ที่มีโปเกมอนในตำนานปรากฏออกมามากมายแต่กลับไม่มีโฮโอเลย ย่อมทำให้หลายคนข้องใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมโฮโอถึงไม่ออกมาในมูฟวี่ซักที แต่ถ้าหากมาวิเคราะห์เรื่องราวระหว่างซาโตชิกับโฮโอกันดีๆ น่าจะได้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้มากทีเดียวล่ะครับ
ในตอน ポケモン! きみにきめた!(โปเกมอน! ฉันเลือกนาย!) ซึ่งเป็นตอนที่ซาโตชิออกเดินทางวันแรก เขาได้เห็นโฮโอบินพาดผ่านสายรุ้ง ในตอนนั้นสมุดภาพโปเกมอนก็ไม่สามารถบอกข้อมูลได้ว่ามันคือโปเกมอนอะไร และแม้ซาโตชิจะเล่าให้ดร.โอกิโดะฟัง แต่ดร.ก็ไม่เชื่อ จึงเป็นโปเกมอนลึกลับที่ค้างคาใจซาโตชิเรื่อยมา
ในตอนที่ 182
ในอดีตนั้น โฮโอกับมนุษย์ได้ติดต่อกันที่หอคอยกระดิ่ง ตามตำนานเล่าว่าโฮโอที่อยู่ในหอนี้จะช่วยปกป้องความสงบสุขของผู้คน ผู้ที่จะสามารถเข้าเฝ้าโฮโอได้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือกเท่านั้น ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีกลุ่มคนที่ต้องการนำพลังของโฮโอไปใช้ในทางที่ชั่วร้าย พวกมันได้เผาหอคอยกระดิ่ง ทำให้โฮโอบินออกไปจากหอแล้วได้หายสาบสูญไป หลังจากนั้นได้มีการสร้างหอคอยกระดิ่งขึ้นมาใหม่เพื่อหวังให้โฮโอได้กลับมา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าโฮโอจะกลับมาอีกเลย นั่นเป็นเพราะโฮโอได้หมดความเชื่อถือในความภักดีของมนุษย์ ซึ่งมัตสึบะคิดว่าโฮโออาจจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ที่มีแต่ความโหดร้ายไม่ได้อีกแล้ว แต่หลังจากที่มัตสึบะได้พ่ายแพ้ให้แก่ซาโตชิในศึกยิมตอน エンジュジム!ゴーストバトル!!(เอ็นจูยิม! โกสต์แบทเทิล!!) ทำให้มัตสึบะเริ่มยอมรับซาโตชิแล้วว่าน่าจะเคยเห็นโฮโอจริงๆ
หลังจากนั้นซาโตชิได้กลับมาที่เอ็นจูซิตี้อีกรอบในตอน スイクンとミナキ!ホウオウのでんせつ!!(ซุยคุงกับมินากิ! ตำนานของโฮโอ!!) ซึ่งในตอนนี้ซาโตชิได้พบกับมัตสึบะอีกครั้ง และได้พบกับ “มินากิ” ผู้ศึกษาโปเกมอนในตำนาน มัตสึบะได้เล่าให้มินากิฟังว่าซาโตชิได้เคยเห็นโฮโอ และเล่าว่าในอดีตหอคอยกระดิ่งหลังเก่าที่ถูกเผาไป แต่กระดิ่งซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของโฮโอกลับไม่โดนเผาไปด้วย จึงได้นำกระดิ่งเหล่านั้นไปติดที่หอคอยหลังใหม่ โดยกระดิ่งเหล่านี้จะไม่เคยส่งเสียงแม้แต่ครั้งเดียว ว่ากันว่าถ้าหากกระดิ่งนี้ส่งเสียงอีกครั้ง นั่นหมายถึงสัญญาณที่โฮโอจะกลับมา แต่หลังจากที่แก๊งร็อคเก็ตขโมยกระดิ่งไป เป็นเหตุให้กระดิ่งที่เหลือส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง จากเรื่องดังกล่าวทำให้มินากิคิดว่า โฮโอคงเฝ้ามองดูพวกเรามาตลอด 300 ปี ว่ากันว่าความโกรธของโฮโอจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์กับโปเกมอนสื่อถึงกันได้อย่างแท้จริง ในอดีตตอนที่เกิดไฟไหม้หอคอยนั้น มีโปเกมอน 3 ตัวที่หนีไม่ทัน โฮโอได้ใช้พลังของตนทำให้โปเกมอน 3 ตัวนั้นได้เกิดใหม่กลายเป็น ไรโค เอ็นเต้ และซุยคุง โฮโอได้ให้ทั้ง 3 ตัวเฝ้าจับตามนุษย์ ถ้าหากถึงวันที่ทั้ง 3 ตัวเห็นพ้องว่ามนุษย์กับโปเกมอนอยู่ร่วมกันได้แล้ว โฮโอก็จะกลับมาอีกครั้ง ซาโตชิจึงบอกไปว่าเขาเคยพบกับซุยคุงด้วย แล้วชี้ภาพในบันทึกโบราณให้มินากิดู มินากิที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดและไม่เชื่อซาโตชิ จึงขอท้าสู้กับซาโตชิเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนที่เหมาะสมกับที่ซุยคุงยอมรับหรือไม่
ติดตามได้ในตอนที่ 228
หลังจากนั้นซาโตชิได้กลับมาที่เอ็นจูซิตี้อีกรอบในตอน スイクンとミナキ!ホウオウのでんせつ!!(ซุยคุงกับมินากิ! ตำนานของโฮโอ!!) ซึ่งในตอนนี้ซาโตชิได้พบกับมัตสึบะอีกครั้ง และได้พบกับ “มินากิ” ผู้ศึกษาโปเกมอนในตำนาน มัตสึบะได้เล่าให้มินากิฟังว่าซาโตชิได้เคยเห็นโฮโอ และเล่าว่าในอดีตหอคอยกระดิ่งหลังเก่าที่ถูกเผาไป แต่กระดิ่งซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของโฮโอกลับไม่โดนเผาไปด้วย จึงได้นำกระดิ่งเหล่านั้นไปติดที่หอคอยหลังใหม่ โดยกระดิ่งเหล่านี้จะไม่เคยส่งเสียงแม้แต่ครั้งเดียว ว่ากันว่าถ้าหากกระดิ่งนี้ส่งเสียงอีกครั้ง นั่นหมายถึงสัญญาณที่โฮโอจะกลับมา แต่หลังจากที่แก๊งร็อคเก็ตขโมยกระดิ่งไป เป็นเหตุให้กระดิ่งที่เหลือส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง จากเรื่องดังกล่าวทำให้มินากิคิดว่า โฮโอคงเฝ้ามองดูพวกเรามาตลอด 300 ปี ว่ากันว่าความโกรธของโฮโอจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์กับโปเกมอนสื่อถึงกันได้อย่างแท้จริง ในอดีตตอนที่เกิดไฟไหม้หอคอยนั้น มีโปเกมอน 3 ตัวที่หนีไม่ทัน โฮโอได้ใช้พลังของตนทำให้โปเกมอน 3 ตัวนั้นได้เกิดใหม่กลายเป็น ไรโค เอ็นเต้ และซุยคุง โฮโอได้ให้ทั้ง 3 ตัวเฝ้าจับตามนุษย์ ถ้าหากถึงวันที่ทั้ง 3 ตัวเห็นพ้องว่ามนุษย์กับโปเกมอนอยู่ร่วมกันได้แล้ว โฮโอก็จะกลับมาอีกครั้ง ซาโตชิจึงบอกไปว่าเขาเคยพบกับซุยคุงด้วย แล้วชี้ภาพในบันทึกโบราณให้มินากิดู มินากิที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดและไม่เชื่อซาโตชิ จึงขอท้าสู้กับซาโตชิเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนที่เหมาะสมกับที่ซุยคุงยอมรับหรือไม่
ติดตามได้ในตอนที่ 228
โดยสรุปแล้ว โฮโอถือเป็นโปเกมอนในตำนานตัวพิเศษสูงสุดสำหรับอนิเมะโปเกมอนเลยครับ อีกทั้งซาโตชิก็มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวโยงกับโฮโอมาตั้งแต่วันที่เขาออกเดินทางเป็นเทรนเนอร์วันแรก การที่ซาโตชิได้พบกับโฮโอที่หายสาบสูญมาตลอด 300 ปี นั่นก็หมายความว่าซาโตชิก็เหมือนเป็นคนพิเศษที่โฮโอถึงกับปรากฏตัวให้เห็นเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหากซาโตชิเกิดไปเจอโฮโอในมูฟวี่ มันก็ไปขัดกับโครงเรื่องหลักที่วางมาแต่แรกเลยล่ะครับ โอเคล่ะว่าส่วนใหญ่แล้วเนื้อเรื่องของซีรี่ส์กับมูฟวี่มันไม่ค่อยเกี่ยวโยงกันเท่าไหร่นัก แต่สำหรับโฮโอนั้นถือเป็นข้อห้ามพิเศษที่จะไม่ปรากฏตัวง่ายๆครับ เพราะการที่ซาโตชิกับโฮโอจะมาพบกันได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน โฮโอถือเป็นจุดสำคัญของการเดินทางของซาโตชิมากๆ ขนาด Pokémon Movie 2015 ที่มีโปเกมอนในตำนานออกมาเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์โปเกมอนมูฟวี่ แต่กลับไม่มีโฮโอปรากฏตัวเลยแม้แต่น้อย ก็เห็นชัดแล้วล่ะครับว่าทีมงานแต่งเรื่องจะไม่เอาโฮโอมาเจอกับซาโตชิได้ง่ายๆแน่นอน
Lugia ปีกสีเงิน
guardian of the seas
ชนิด พลังจิต/บิน/มังกร
ถูกเรียกว่า จ้าวแห่งสมุทร ในเกมลูเกียในอดีตอาศัยอยู่ในหอคอย Ecruteak City ซึ่งเป็นหอคอยที่มีคู่กับโอโฮ แต่อยู่ๆก็เกิดไฟไหม้ทำให้ต้องย้ายไปสร้างบ้านใหม่ที่
หมู่เกาะน้ำวน Whirl Islands ลูเกียในอนิเม นั้นอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกและตื่นขึ้นมาหยุดหายนะที่เกิดจากปีกมายาทั้งสามที่อาละวาด ลูเกียสามารถควบคุมอากาศได้ สามารถทำให้เกิดพายุติดต่อกันหลายวันได้ในท้องทะเล
ลูเกีย สามารถควบคุมอากาศ โดยสามารถทำให้เกิดพายุติดต่อกับหลายวันได้ในท้องทะเล และมันได้ให้กำเนิดโปเกมอนในตำนานอีก 3 ตัว เจ้าของตำนาน “ปีกมายา” ได้แก่ ฟรีซเซอร์, ธันเดอร์ และ ไฟเยอร์ ด้วย
ลูเกีย ว่ากันว่าคัดแปลงมาจาก ริวจิน (「龍神」, Ryūjin, 龍神) หรือริวโอ นับเป็นหนึ่งในจตุมหาราชทั้งสี่ของญี่ปุ่นริวโอ เป็นผู้ปกครองท้องทะเล มีลักษณะเป็นมังกรตัวมหึมา
ลูเกียมีท่าที่เป็นเอกลักษณ์คือการปล่อยลมที่มีแรงอัดมหาศาจออกจากปากซึ่งก็คือ Aeroblast
สามมารถรับชม เดอะมูฟวี่ ตอนลูเกีย จ้าวแห่งทะเลลึกได้ที่นี่
____________________________________________________________
4.Raikou Entei Suicune
ประวัติของทั้งสามตัวนั้นคือ เมื่อก่อนเป็นเรื่องของโฮโอได้ชุบชีวิต ของอีวุยทั้งสามตัว คือซันเดอร์ ซาวเวอร์ และบูเตอร์ จากเหตุที่มนุษย์ไปก่อเหตุเผาหอคอยของโฮโอ ทำให้ เกิดเป็น Raikou Entei Suicune
Raikou
ชนิด ไฟฟ้า สามารถสร้างเมฆพายุเพื่อทำให้ตัวเองบินได้ อ้างอิงจากมังงะ
เท่าที่เห็นในอะนิเมะ Raikou สามารถในการบินโดยการสร้างเมฆพายุ มันแสดงให้เห็นว่าไม่ไว้ใจมนุษย์แม้ว่ามันอาจมิตรภาพบางอย่างกับผู้ที่ช่วยให้มัน Raikou มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นในระหว่างพายุฝนฟ้าคะนองและเมื่อไฟฟ้าอื่น ๆ ประเภทโปเกมอนตกอยู่ในอันตราย แข่ง Raikou ข้ามทุ่งหญ้าในขณะที่เห่าเสียงร้องที่เสียงเหมือนฟ้าร้อง
Entei
ชนิด ไฟ สามารถ ยิงเปลวไฟที่ร้อนกว่าแม็กม่าภูเขาไฟ และเมื่อคำรามทำให้เกิดสามารถทำให้ภูเขาไฟเกิดประทุได้ เอ้นเต้เป็นหัวหน้าของทั้งสาม ตัว เอ็นเตอาศัยอยู่บนปล่องภูเขาไฟ
ดูเดอะมูฟวี่ที่เกี่ยวกับ Entei
Suicune
ซุยคุนเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความเมตตาแห่งน้ำพุบริสุทธิ์และสายลมเหนือ มันจะวิ่งตระเวณอย่างสง่างามไปทั่วโลกพร้อม ๆ กับสายลมเหนือ เพื่อค้นหาแหล่งน้ำบริสุทธิ์ และทำให้น้ำเสียกลับมาใสสะอาด ซึ่งมันสามารถทำให้น้ำที่สกปรกกลับมาสะอาดได้ทันที ว่ากันว่าเมื่อซุยคุนปรากฏตัว ก็จะมีลมเหนือพัดมาด้วยทุกครั้ง
____________________________________________________________
5.Weather trio ตำนานโปเกมอนดึกดำดึกดําบรรพ์ทั้งสาม
โดยเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของโปเกมอนทั้งสอง
สีแดง กราด้อน Groudon กับ สีน้ำเงิน ไคโอก้า Kyogre โปเกมอนดึกดำบรรพ์
โดยทั้งสองต่อสู้กันเป็นเวลานานเพื่อแย่งชิงพื้นที่
กราด้อน มีความสามารถทำให้เกิดความแห้งแล้งหรือแดดที่จ้า ต้องการเพิ่มพื้นดินโดยการทำให้น้ำแห้ง
ไคโอก้า มีความทำให้เกิดพายุฝน ต้องการเพิ่มพื้นที่น้ำทะแลให้เยอะขึ้นโดยการทำให้เิกิดพายุฝน
โดยทั้งสองต่อสู้กันเป็นเวลานานเพื่อแย่งชิงพื้นที่และหลับไปในที่สุด
แต่ในเหตุการณ์ในเกมภาค Emeraldทั้งสองได้ตื่นขึ้นมาต่อสู้กันอีกครั้งโดยการถูกให้ปลุกขึ้นโดยฝีมือแก็งค์แม็กม่าและอควา การต่อสู้ของทั้งสองทำให้เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง โดยตอนหลัง
เรกูซ่า Rayquaza สีเขียว โปเกมอนที่มีความสามารถทำให้อากาศแจ่มใส ต่อต้านสภาพอากาศได้ ได้เข้ามาห้ามศึกนี้และไล่กราด้อนและไคโอก้ากลับใต้พื้นดินที่หลับไหล ทำให้สภาพอากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เรกูซ่าก็คล้ายเหมือนกรรมการที่คอยมาห้ามมวยระหว่างไคโอก้าและกราด้อนนั่นเอง
Groudon อสูรกายแห่งปฐพี สัญลักษณ์ประจำภาค Ruby
ชนิด ดิน
เป็นคู่ปรับ Kyogre ทีทำการต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้วในอดีต โดยกราด้อนต้องการเพิ่มอาณาเฃตพื้นดิน โดยตามตำนานกราดอนจะสร้างแสงแดดที่แรงจ้าบริเวณรอบๆตัวมันทำให้เกิดพื้นดินเพิ่มขึ้นโดยการใช้ความร้อนทำให้แหล่งน้ำแห้งระเหย โดยกราด้อนนั้นอาศัยอยู่พื้นใต้ดินในช่องว่างของแม็กม่าและเป็นสาเหตุทำให้เกิดภูเขาไฟปะทุขึ้น
ที่มาของกราด้อนโดยชื่อ Groundon - ผู้ปกครองผืนดิน - ground+don(พื้นดิน+คำเติมท้ายชื่อไดโนเสาร์)
ต้นแบบของกราด้อน
กราด้อนนั้นได้มีต้นแบบมาจาก Behemoth สัตว์ใหญ่ เป็นตัวแทนแห่งดิน เหมือนกราด้อนที่เป็นธาตุดิน
1ใน3 อสูรร้ายดึกดำบรรพ์ตามตำนานของศาสนาคริสต์ จ้าวแห่งผืนปฐพี
ชื่อเบเฮโมท มาจากภาษาฮีบรู Behemot มีความหมายหมายถึงอสูรกาย สัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก คำดังกล่าวยังถูกใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าจะ เปรียบเทียบได้ด้วย เบเฮโมท ในฐานะสัตว์ประหลาด
เช่นเดียวกับเลวีอาธาน ที่นักวิชาการพระคัมภีร์จะพยายามตั้งสมมุติฐานถึงเบเฮโมทในฐานะสิ่งมีชีวิต สัตว์ปกติอย่างหนึ่งในโลก ซึ่งสัตว์โลกที่ถูกตั้งข้อสมมุติฐานว่าอาจเป็นที่มาของเบเฮโมทก็ได้นั้น ได้แก่ ควายน้ำ แรด วัว และ ช้าง แต่ที่เชื่อและได้รับการยอมรับกันมากที่สุดคือ ฮิปโปโปเตมัส เพราะในพระคัมภีร์บทหนังสือของอิศยาห์เอง ก็มีการแปลความตัว ฮิปโปโปเตมัส เป็น Bahamat Negeb หรือ “อสูรแห่งทิศใต้”
แต่กระนั้นก็ดี นักวิชาการบางส่วนก็ยังไม่เชื่อในข้อสันนิษฐานนั้น โดยยกประเด็นเรื่องหางมาเป็นข้อโต้แย้ง จากบทบรรยายที่พูดถึงหางที่แกว่งไกวไปมาเหมือนไม้สนซีดาร์ในพระคัมภีร์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะสื่อถึงช้างเสียมากกว่า
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อว่าเบเฮโมทน่าจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์เยี่ยงไดโนเสาร์เสียมากกว่า โดยเฉพาะไดโนเสาร์ในตระกูล ซอร์รอพอด ที่มีลักษณะหลายอย่างตรงตามบทบรรยายของโยบ เช่น เรื่องของขนาดอันใหญ่โต กระดูกเหมือนท่อนเหล็ก ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และหางที่แกว่งเหมือนไม้สนซีดาร์ แต่กระนั้นก็ดี ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สอดคล้องหลายประการ ทั้งจากหลักฐานทางฟอซซิล และบทบรรยายว่า เบเฮโมท กินหญ้าเป็นอาหารเยี่ยงวัวอีก ซึ่งขัดกับลักษณะฟันและธรรมชาติของซอร์รอพอด
บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ Behemot นี้จากเกมยอมนิยมอย่าง ไฟนอลแฟนตาซีนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วGroudon ยังเป็นสัญลักษณ์ของแก๊งแม๊กม่าอีกด้วย แก๊งแม็กม่า เป็นแก๊งชั่วร้ายในเขตโฮเอ็น มีเป้าหมายคือ การขยายอาณาเขตของพื้นดิน ทำให้เป็นศัตรูกับแ๊ก๊งอควาซึ่งต้องการขยายอาณาเขตของทะเล ผู้นำแก๊ง ได้แก่
โฮมูระ(Tabitha) จะใช้ควันจากโคตัส โปเกมอนของเขาในการทำลายการมองเห็นของคู่ต่อสู้ และในบางครั้งสามารถทำให้คู่ต่อสู้หมดสติได้
คางาริ(Courtney) จะใช้ไฟเผาทำลายสิ่งต่างๆ เธอเป็นคนที่สุขุมที่สุดในบรรดาผู้นำแก๊งทั้ง 3 โปเกม่อนที่ใช้ คือ คิวคอน
โฮคาเงะ(Mack) สามารถทำให้คู่ต่อสู้เห็นความ
ทรงจำที่เจ็บปวดของตนเองได้ เป็นคนที่มั่นใจในตนเองมากแต่ในบางครั้งก็เห็นแก่ตัว
ผู้นำแก๊งทั้ง 3 คน นี้ มี "ไฟฉายความทรงจำ" ที่สามารถบันทึกและถ่ายทอดภาพต่างๆลงในกระดาษได้โปเกม่อนที่ใช้ คือ แม็กมัก
นอกจากนี้แล้วGroudon ยังเป็นสัญลักษณ์ของแก๊งแม๊กม่าอีกด้วย แก๊งแม็กม่า เป็นแก๊งชั่วร้ายในเขตโฮเอ็น มีเป้าหมายคือ การขยายอาณาเขตของพื้นดิน ทำให้เป็นศัตรูกับแ๊ก๊งอควาซึ่งต้องการขยายอาณาเขตของทะเล ผู้นำแก๊ง ได้แก่
โฮมูระ(Tabitha) จะใช้ควันจากโคตัส โปเกมอนของเขาในการทำลายการมองเห็นของคู่ต่อสู้ และในบางครั้งสามารถทำให้คู่ต่อสู้หมดสติได้
คางาริ(Courtney) จะใช้ไฟเผาทำลายสิ่งต่างๆ เธอเป็นคนที่สุขุมที่สุดในบรรดาผู้นำแก๊งทั้ง 3 โปเกม่อนที่ใช้ คือ คิวคอน
โฮคาเงะ(Mack) สามารถทำให้คู่ต่อสู้เห็นความ
ทรงจำที่เจ็บปวดของตนเองได้ เป็นคนที่มั่นใจในตนเองมากแต่ในบางครั้งก็เห็นแก่ตัว
ผู้นำแก๊งทั้ง 3 คน นี้ มี "ไฟฉายความทรงจำ" ที่สามารถบันทึกและถ่ายทอดภาพต่างๆลงในกระดาษได้โปเกม่อนที่ใช้ คือ แม็กมัก
Kyogre อสูรกายแห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ประจำภาค Sapphire
ชนิด น้ำ
ที่มาของชื่อ kyogre - ผู้ปกครองมหาสมุทร - ky+orge (ky = ไคแปลว่าทะเล+ogre=ยักษ์กินคน,คนที่น่ากลัว/โอ = ราชา)
เป็นคู่ปรับ Groudon ที่ทำการต่อสู้มาเป็นเวลานานแล้วในอดีต โดยกราด้อนต้องการเพิ่มอาณาเฃตพื้นดิน แต่ไคโอก้าตรงข้ามคือต้องการเพิ่มพื้นที่ที่เป็นน้ำหรือทะแลนั่นเอง Kyogre มีอำนาจเรียกพายุฝนตก นอกจากนี้ยัง สามารถควบคุมทะเล ขยับขยายทะเลได้และยังสร้างคลื่นยักษ์ใหญ่ มีความคิดที่จะสร้างโลกให้เต็มไปด้วยพื้นที่มหาสมุทร ตามตำนานไม่มีรายละเอียดกับมันมากนักเกี่ยวกับพฤติกรรมของ Kyogre เนื่องจากว่าไม่ค่อยพบเห็น มันมีนิสัยรักสงบและใจเย็น แต่เมื่อ Groudon ที่เป็นศัตรูจะโจมตีทันที ไคโอก้านั้นปกติอาศัยอยู่ในส่วนที่ลึกสุดของใต้ท้องทะเล
หนึ่งในสามโปเกมอนในตำนานผู้ควบคุมดิน น้ำ อากาศ แห่งเขตโฮเอ็น เป็นโปเกมอนที่อาศัยในมหาสมุทรและมีอำนาจในการขยายพื้นที่ท้องทะเลในโลกโปเกมอน ในอดีตจึงเกิดศึกปะทะกับกราดอน ซึ่งมีพลังในการขยายแผ่นดินเป็นประจำ ต่อมาก็ได้แยกย้ายและจำศีลใต้ท้องทะเลลึก ก่อนถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งตามเนื้อเรื่องในอนิเมะ
ต้นแบบของไคโอก้า
Leviathan (เลวีอาธาน)
ชื่อมีความหมายตามตัวว่า ขด หรือ หมุนวนเป็นเกลียว เลวีอาธานเป็นอสูรกายในตำนาน เป็น 1 ใน 3 มหาปีศาจดึกดำบรรพ์ยักษ์ ซึ่งได้แก่ จ้าวสมุทร เลวีอาธัน / จ้าวปฐพี เบเฮโมท และ จ้าวนภา ซิซ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีการกล่าวถึงเจ้าอสูรกายจ้าวแห่งมหาสมุทรนี้มากมาย ซึ่งพบได้หลักๆ 5 ตอนดังนี้
มีคำกล่าวเกี่ยวกับเลวี่ ไว้ว่า
"ใครจะถลกเสื้อชั้นนอกของมันออกได้ ใครจะแทงเข้าไปในเสื้อเกราะสองชั้นของมันได้
ใคร จะเปิดประตูหน้าของมันได้ ฟันของมันนั้นน่าสยดสยองโดยรอบ เกล็ดของมันอยู่อย่างทะนง แนบตัวมันสนิทเหมือนอย่างตราผนึก มันอยู่ชิดกันมาก ไม่มีลมผ่านเข้าไปได้"
ในพระคัมภีร์ บทหนังสือของโยบ มีการกล่าวถึงเลวีอาธานและเบเฮโมท ร่วมกันกับสัตว์อื่นๆ ปกติตามประสาสัตว์โลกในธรรมชาติ เช่น แพะ หรือ เหยี่ยว ทำให้นักวิชาการอดที่จะตั้งสมมุติฐานไม่ได้ว่า บางทีเลวีอาธานอาจเป็นสัตว์โลกสามัญธรรมดา เฉกเช่นสัตว์อื่นๆ ก็เป็นได้ ซึ่งหนึ่งในบรรดาสัตว์ที่ถูกยกมาตั้งสมมุติฐานว่าอาจเป็นต้นแบบของเลวีอาธาน ก็ เป็นได้ คือ จระเข้ขนาดใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์
ไนล์ ครอคโคไดล์ หรือ จระเข้แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ มีคุณลักษณะหลายอย่างที่อาจเทียบเคียงได้กับเลวีอาธาน ตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของมันที่เป็นสัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวอันแหลมคม และ เต็มไปด้วยความดุร้ายน่าเกรงขาม จากบทของโยบข้างต้น ได้บรรยายตาของเลวีอาธานเอาไว้ว่า “ตาของมันเหมือนอย่างแสงอรุณรุ่งเช้า” ซึ่งนักวิชาการบางคนได้ลองเปรียบเทียบโคลงท่อนดังกล่าวเข้ากับดวงตาของ จระเข้ ซึ่งมักจะปรากฏผุดโผล่ขึ้นมาจากน้ำเป็นส่วนแรกที่เราเห็น ก่อนจะเห็นร่างกายหรือศีรษะส่วนที่เหลือของจระเข้เสียอีก ซึ่งนั่นอาจเปรียบเทียบได้กับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ผุดขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า นั่นเอง แต่หากพิจารณาโดยใช้โคลงบทเดียวกันนี่เอง บทต่อมาได้บรรยายเลวีอาธันไว้ว่ามีลมหายใจเป็นไฟราวกับมังกรไฟ ซึ่งหากพิจารณาเช่นนี้แล้ว จระเข้แห่งลุ่มน้ำไนล์จะแตกต่างกับเลวีอาธานอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนคำบรรยายที่ปรากฏในพระคัมภีร์ส่วนอื่นๆ ก็ดูจะไม่สอดคล้องกับจระเข้แห่งลุ่มน้ำไนล์ด้วย
วาฬขนาดยักษ์ เป็นอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง ที่เชื่อว่าอาจเป็นแหล่งที่มาของเลวีอาธานได้ และหลายครั้งในอดีต กะลาสีเรือชาวยุโรปก็ประสบกับวาฬ หรือ สัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเยี่ยงมังกรหรืองูขนาดยักษ์ ที่ใหญ่โตมากขนาดที่ว่า แค่การว่ายไปมาของมันในมหาสมุทร ก็เพียงพอที่จะสร้างวังน้ำวนขนาดยักษ์ ที่ใหญ่พอที่จะกลืนเรือทั้งลำลงไปได้อย่างง่ายดาย
ไดโนเสาร์ หรือสิ่งมีชีวิต สัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์ ก็เป็นอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่ถูกต้องข้อสมมุติฐานขึ้นมา ข้อสมมุติฐานนี้เชื่อว่าเลวีอาธานเป็นไดโนเสาร์ในสายตระกูล พาราซอว์ออโลฟุส หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ที่อาศัยในน้ำ อย่าง โครโนเซารัส แต่แม้กระนั้นก็ดี แม้อาจจะอธิบายเรื่องขนาดอันใหญ่โตหรือรูปลักษณ์ที่ปรากฏของมันได้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไม เลวีอาธานมีลมหายใจเป็นไฟ สามารถพ่นไฟได้อยู่ดี
เหมือน Behemot เราอาจจะได้ยินชื่อ Leviathan จากเกมยอมนิยมอย่าง ไฟนอลแฟนตาซีเช่นกันที่เป็นมนต์อสูรน้ำในไฟนอล 7
นอกจากนี้แล้ว Kyogre ยังเป็นสัญลักษณ์ของแก๊ง อควาด้วยแก๊งอควา เป็นแก๊งชั่วร้ายในเขตโฮเอ็นเช่นเดียวกับแก๊งแม็กม่า จุดมุ่งหมายของแก๊งคือ การขยายอาณาเขตของทะเลในเขตโฮเอ็น โดยการไปจับไคโอก้า แต่แผนการนี้ก็ถูกขัดขวางโดยรูบี้และแซฟไฟร์ และทำให้ อาโอกิริ หัวหน้าแก๊งถูกพลังของลูกแก้วเข้าควบคุม
นอกจากนี้แล้ว Kyogre ยังเป็นสัญลักษณ์ของแก๊ง อควาด้วยแก๊งอควา เป็นแก๊งชั่วร้ายในเขตโฮเอ็นเช่นเดียวกับแก๊งแม็กม่า จุดมุ่งหมายของแก๊งคือ การขยายอาณาเขตของทะเลในเขตโฮเอ็น โดยการไปจับไคโอก้า แต่แผนการนี้ก็ถูกขัดขวางโดยรูบี้และแซฟไฟร์ และทำให้ อาโอกิริ หัวหน้าแก๊งถูกพลังของลูกแก้วเข้าควบคุม
Rayquaza อสูรกายแห่งท้องฟ้า สัญลักษณ์ประจำภาค Emerald
ชนิด มังกร / บิน
ที่ของชื่อ Rayquaza - ผู้ปกครองท้องฟ้า - ray+quasarกลุ่มของส่องแสงคล้ายดวงดาว
Rayquaza นั้นโดยปกตินั้นจะอาศัยอยู่บนชั้นโอโซน ซึ่งเ็็ป็นชั้นบรรยากาศที่เชื่อระหว่างอวกาศกับโลก แต่บางครั้งอาจอยู่บนบนหอคอยสูง Sky Pillar
Rayquaza บินไปทั่วโลกในชั้นโอโซนและลงพักเฉพาะที่ยอดหอคอยของ Sky Pillar ซึ่งเป็นที่เหมาะแก่การพักผ่อน ปราศจากผู้บุกรุกและสงบ
Rayquaza สามารถทำให้ Groudon และ Kyogre สงบได้ ซึ่งในบรรดาโปเกมอนดึกดำบรรพ์สามตัว Rayquaza มีความเป็นผู้นำและสงบนิ่งที่สุด
Rayquaza มีเสียงคำรามที่สามารถยับยั้ง Groudon และ Kyogre ให้สงบได้ Rayquaza มีความสามารถในการใช้การโจมตีธาตุต่างๆที่มีประสิทธิภาพจากปากของ อีกทั้งยังมีความสามารถเฉพาะตัวคือ สามารถลบล้างผลของสภาพอากาศได้ Rayquaza ก็เหมือนกับผู้ปกครองท้องฟ้าเราเห็นได้จากที่ Deoxys โปเกมอนต่างดาว ที่มาเยือนโลก Rayquazaก็ได้ทำการต่อสู้เพราะคิดว่าเป้นผู้บุกรุกซึ่งเราจะเห็นได้จากภาคมูวี่
ต้นแบบของเรกูซ่า
Ziz จ้าวแห่งนภา
ซิซ เป็นคำภาษาฮีบรู เป็นอสูรกายในตำนาน เป็นนกยักษ์รูปร่างคล้ายกริฟฟิน ที่ปรากฏในตำนานของทางยิว ความใหญ่โตโอฬารของมันนั้นใหญ่มากชนิดถึงกับมีการบรรยายเอาไว้ว่า หากซิซสยายปีกออกมาเต็มที่เมื่อใด เมื่อนั้น ปีกทั้งหมดของมันสามารถปิดปกคลุมแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่ส่องลงมาได้เลย ซิซ ถือว่าเป็นอสูรกายโบราณ จอมราชันย์แห่งผืนนภาผู้ปกครองฟ้าอันกว้างใหญ่ เช่นเดียวกับ ราชันย์จ้าวแห่งมาหสมุทร เลวีอาธาน และราชันย์ จ้าวแห่งพิภพ เบเฮโมท นั่นเอง
มีบางตำนานกล่าวไว้ว่า ซิซคือราชันย์แห่งมวลหมูวิหค การถือกำเนิดและการคงอยู่ของมันมีไว้เพื่อมวลหมู่วิหคทั้งมวลในนภากาศ เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องมวลหมู่วิหคทั้งมวล หากหาไม่แล้ว หากซิซไม่ได้ดำรงอยู่ มวลหมู่วิหคทั้งหลาย โดยเฉพาะนกตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอและไม่อาจป้องกันตัวเองได้ จะถูกล่า และถูกฆ่าเสียหมดจนเหี้ยนเตียน
ดังนั้นสำหรับมนุษย์แล้ว ซิซคืออสูรกายยักษ์อมตะที่น่าหวั่นสะพรึง ที่พร้อมจะเป็นภัยคุกคามสำหรับมนุษย์ทุกผู้ที่ก้าวย่างล่วงล้ำเข้ามาใน อาณาเขตของมัน หรือรังแกทำร้ายบรรดานกมวลหมู่วิหคทั้งหลาย
ซิซ เปรียบเทียบกับสัตว์ในตำนานอื่นๆ
ซิซ อาจเปรียบได้กับ คาร์ หรือ คารา หรือสัตว์ในตำนานประเภทนกอื่นๆ (โดยละเลยต่อข้อจำกัดเรื่องขนาดที่แตกต่างของมัน) เช่นเดียวกับสัตว์หรือวิหคในตำนานอื่นๆ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับซิซในแง่ต่างๆ ทั้งความเหมือนต่าง คล้ายคลึงและสอดคล้อง และในบรรดานั้น ซิเมิร์ก และ ร็อก เป็นวิหคในตำนานที่นิยมนำมาเปรียบเทียบร่วมกับซิซ
ซิเมิร์ก หรือ ซิมอร์ก เป็นชื่อของวิหคเหิรเวหาในตำนานของทางเปอร์เซีย ซึ่งรูปร่างลักษณะต่างๆ ของมันสามารถพบได้ดาษดื่นทั่วไปในผลงานงานประพันธ์และผลงานศิลปะของอิหร่าน ในยุครุ่งเรือง และหลักฐานที่บ่งบอกถึงการดำรงอยู่ของซิเมิร์กในศิลปะงานประพันธ์ต่างๆ ก็ปรากฏพบได้จากแผนภาพนูนต่ำในช่วงยุคกลางของอาร์เมเนีย ไบเซนเที่ยม และในเขตรอบนอกวงแหวนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากทางอิหร่าน
ร็อค หรือ รูค เป็นอีกหนึ่งวิหคที่มีประวัติที่มาจากตำนาน เป็นนกขนาดใหญ่มักจะมีสีขาว เลื่องลือว่ามีขนาดใหญ่โตและแข็งแรงขนาดที่ว่าช้างเป็นๆ ทั้งตัว ขึ้นไปจับฉีกกินในอากาศได้เลยทีเดียว ชื่อร็อค หรือ รูค หรือ โร๊ค นี้มาจากทางเปอร์เซีย ประวัติที่มาที่ไปอันแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องร็อคนี้ยังไม่เด่นชัดนัก ขณะที่บางแหล่งข้อมูลก็เชื่อว่า ร็อค นี้อาจเป็นสัตว์ในตำนานที่ถูกขนานนามสร้างขึ้นมาจาก วิหค นกที่มีอยู่จริง มาปั้นเสริมเติมแต่งให้เกินจริงก็เป็นได้ ซึ่งข้อสันนิษฐานแหล่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือนกในช่วงต้นของศตวรรษที่ 8 จากผลงานการประพันธ์ของนักเขียนทางตะวันออกกลางคนหนึ่ง นอกจากนี้เคยมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นนกที่อ้างกล่าวถึงนี้จริงในช่วงศตวรรษ ที่ 16 โดยนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ได้ไปแวะไปเที่ยวในละแวกเขตมหาสมุทรอินเดีย
นอก จากภาพลักษณ์ของซิซที่เป็นวิหค ยักษ์ อสูรกายในตำนานแล้ว ซิซยังมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่ด้วย นั่นคือวิหคยักษ์ซิซ ที่มีชีวิตปรากฏอยู่ในผลงานหนังสือสำหรับเด็ก ผลงานเรื่องนี้เป็นผลงานของ เยอร์ทรู๊ด แลนดา เป็นผลงานในปี 1919 ที่รวมนิทาน ตำนาน เทพนิยาย ของตำนานทางยิวเอาไว้ นอกจากนี้จากหนังสืออีก 2 เล่มที่คบลอดตามหลังมา คือ หนังสือเรื่อง The Ziz และ The Hanukkah Miracle ก็ยิ่งตอกย้ำและทำให้เรื่องราวของซิซดำรงอยู่ต่อเนื่องในฐานะตัวละครที่มี เสน่ห์และเป็นที่รู้จักตัวหนึ่งในผลงานหนังสือ และงานเขียนสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับการปรากฏในหนังสือของ แจ๊คเคไลน์ จูเลซ ที่ได้ แคทเธอรีนมาวาดภาพประกอบด้วย (ทั้งหมดพิมพิ์และจัดจำหน่ายโดย คาร์เบน) ส่วนผลงานที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ที่เกี่ยวกับซิซก็เช่น The Hardest Wood, Noah and the Ziz, The Ziz And the Hanukkah Miracle and The Princess and the Ziz ซิซในผลงานดังกล่าวหาใช่อสูรกาย วิหคยักษ์ที่ดุร้ายหรือทำร้ายมนุษย์ไม่ หากแต่เป็นวิหคยักษ์ที่มีจิตใจงดงาม ที่ได้รับบทเรียนจากพระเจ้า (ซิสไม่ทำร้ายมนุษย์ เหมือนเรควาซ่า ที่อยุ่บนหอคอยเฉยๆ และบ่อยครั้งที่ตำนานของ Behemoth กับ Leviathan จะต้องมี Ziz เป็นมือที่ 3 อยู่เสมอๆ)
โปเกม่อน xy ตอนที่เกี่ยวข้อง
____________________________________________________________
6.โปเกม่อนแห่งดวงดาว
Jirachi คำอธิฐานจากดาวหาง
Jirachi ชนิด เหล็ก / พลังจิตกล่าวอาศัยอยู่ในถ้ำ
ของหุบภูเขา โดยจะหลับไหลอยู่เป็นเวลา1,000 ปีแต่จะมีแค่ 7วัน เท่านั้นที่ตื่นขึ้นมาก็คือระยะเวลาที่ดาวหาง Millennium Comet โคจรใกล้โลกซึ่งกินเวลา7วัน โดย Jirachi มีดวงตาที่เรียกว่า ดวงตาที่แท้จริง อยู่ตรงท้องของ Jirachi โดยเมื่อมันตื่นขึ้นจะทำการเปิดวงตาที่แท้จริงรับพลังจากดางหาง Millennium Comet อันมหาศาจและหลังจากนั้นก็จะหลับต่อไปอีกพันปีในถ้าลึกของหุบภูเขา Jirachi มีความสามารถในการประทานพร Jirachi มีนิสัยคล้ายเด็กเล็ก
ขี้เล่น และมีความสามารถเฉพาะตัวคือ เคลื่อนย้ายพริบตา ที่สามารถเคลื่อนย้ายทุกสิ่งให้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ แม้จะเป็นพลังในรูปแบบมวลสารหรือวัตถุ
สามารถติดตามเดอะมูฟวี่ที่เกี่ยวกับ Jirachi ได้ที่นี่
Deoxys ผู้มาเยือนจากต่างดาว
Deoxys เกิดจากไวรัสที่อยู่ในอุกาบาตหลงตกเข้ามาในโลก ซึ่งก็จะเรียกได้ว่าเป็นโปเกมอนจากนอกโลก Deoxys มีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างของตนของสิ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ ระหว่างการต่อสู้
มี4ร่าง
1.Normal Forme
2.Attack Forme
3.Defense Forme
4.Speed Form
Deoxys สามารถงอกส่วนของร่างกายได้ใหม่ที่อาจมีการสูญหายในระหว่างการต่อสู้ ตราบที่คริสตัลบนหน้าอกยังสมบูรณ์อยู่ สามารถงอกส่วนของร่างกายได้ใหม่ แม้จะหายไปทั้งตัวเหลือแต่คริสตัสที่อกก็ตาม Deoxysในอนิเมใช้เวลาสี่ปีในการงอกใหม่ทั้งหมดร่างกายหลังจากที่ตนเองถูก Rayquaza เผาร่างกายหมดจนเหลือแต่คริสตัล
Deoxys จะปล่อย Aurora เวลาจะเปลี่ยน forme ในทุกครั้ง อีกทั้ง Deoxys ยังใช้ Aurora ที่ปล่อยมาใช้ในการสื่อสารกับ Deoxys ด้วยกันด้วย
Deoxys มีความสามารถในการสร้างโคลนของตัวเอง หรือเรียกง่ายคือแยกร่างแต่จะไม่สามารถใช้ formes อื่น ๆ ได้นอกเหนือจาก Normal Forme เมื่อโคลนเหล่านี้จะพ่ายแพ้ก็หายกลายเป็นฝุ่น
Deoxys จะเปิดใจแต่กับพวกตัวเองแต่ก็สามารถเป็นเพื่อนกับมนุษย์ที่เชื่อใจได้
เดอะมูฟวี่ที่เกี่ยวข้องกับ Deoxys รับชมได้ที่นี่
____________________________________________________________
7.Latios และ Latias โปเกมอนมายาสองพี่น้อง
ชนิด มังกร/พลังจิต ทั้งสองสามารถล่องลอยอยู่ในอากาศ สามารถพับแขนและบินด้วยความเร็วของคล้ายเครื่องบินเจ็ท สามารถทำให้ ศัตรูหรือคนอื่นเห็นภาพที่เขาได้เห็นหรือสิ่งที่เห็นในหัวของเขา ซึ่งเป็นความสามรถพิเศษที่เรียกว่า
ถ่ายทอดความฝัน สามารถเข้าใจภาษาคน อีกยังใช้ภาพมายาให้ตัวแฝงกลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วยังสามารถล่องหนได้ ทั้งสองได้ทำหน้าที่เป็นผุ้พิทักษ์ปกป้อง หยดน้ำแห่งหัวใจ ที่เป็นสมบัติที่ค่อยปกป้องเมืองนครแห่งน้ำ
ถ่ายทอดความฝัน สามารถเข้าใจภาษาคน อีกยังใช้ภาพมายาให้ตัวแฝงกลายเป็นมนุษย์ได้ แล้วยังสามารถล่องหนได้ ทั้งสองได้ทำหน้าที่เป็นผุ้พิทักษ์ปกป้อง หยดน้ำแห่งหัวใจ ที่เป็นสมบัติที่ค่อยปกป้องเมืองนครแห่งน้ำ
Latias (ลาทีแอส)
สรีรวิทยา
ลาทีแอสเป็นโปเกมอนมังกรที่รูปร่างคล้ายนก และรูปร่างคล้าย"Lugia" (ลูเกีย) ร่างกายส่วนร่างและปีกที่เหมือนเครื่องบินเจ๊ตของมัน มีสีแดง ตรงหน้าอกของมันมีรูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงินติดอยู่ แขนทั้งสองข้างของมันสามารถหุบเข้าทำให้สะดวกในการโจ มตี ร่างกายส่วนบนของมันเป็นสีขาว หูของมันเป็นรุปสาวเหลี่ยมบริเวณปลายหูเป็นแฉกๆ และที่หน้าของมันมีรูปสามเหลี่ยมสีแดงติดอยู่
ความแตกต่างทางเพศ มีแต่เพศเมียเท่านั้น
ถิ่นที่อยู่อาศัย
อาศัยอยุ่ที่นครแห่งสายน้ำ นามว่า อัลโตมาเลย์ (Altomare City)
พฤติกรรม
ลาทีแอสมีขนาดเล็กเท่ากับคน มันสามารถแปลงเป็นโปเกมอน หรือ ผู้คนต่างๆได้โดยที่คนอื่นไม่สงสัย มันมีความรู้สึกไวต่ออันตรายมาก แต่บางครั้งมันก็ไม่สามารถรับรู้ได้ ถ้าหากมันอยู่ในอาการหวาดกลัวไม่ค่อยจะติดต่อกับผู้คนหรือโปเกมอน หาก Latias รู้สึกถึงศัตรูขนจะลุกทั่วร่างกายและร้องอย่าง โหยหวนเพื่อข่มขู่ศัตรู แต่เมักจะหลีกหนีไปถ้ารู้สึกศัตรู มีนิสัย ขี้เล่น และซน
Latios (ลาทีออส)
สรีรวิทยา
ลาทีออสมีรูปร่างคล้ายกับลาทีแอสแต่มีขนาดใหญ่กว่า ร่างกายส่วนร่างและปีกที่เหมือนเครื่องบินเจ๊ตของมัน มีสีน้ำเงิน ตรงหน้าอกของมันมีรูปสามเหลี่ยมสีแดงติดอยู่ ส่วนอื่นที่ไม่ได้กล่าวมีสีเทาโทนขาว หูของลาทีแอสมีขนาดสวยและแคบกว่าลาทีแอส และที่หน้าของมันมีรูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงินติดอยู่
ความแตกต่างทางเพศ มีแต่เพศชายเท่านั้น
อาศัยอยุ่ที่นครแห่งสายน้ำ นามว่า อัลโตมาเลย์ (Altomare City)
พฤติกรรม
ลาทีออสมีนิสัยหวงถิ่นมาก เปลี่ยนอารมณืเร็ว ขี้โมโห ว่านอนสอนง่าย และเกลียดการต่อสู้ มันจะเชื่องกับคนที่มีนิสัยดี มีเมตตาเท่านั้น นิสัยมีความรับผิดชอบสูงค่อยห่วงใยน้องสาว มีนิสัยเชื่อง และไม่ชอบการต่อสู้ จะเปิดใจกับ Trainer ที่มีเมตตาและจิตใจดี
สามารถติดตาม รับชมเดอะมูฟวี่เกี่ยวกับสองพี่น้องได้ที่นี่
____________________________________________________________
8.Regirock Regice Registeel
ก่อนจะพูดถึงRegirock Regice Registeel ทั้งสามตัวคงต้องพูดถึง Regigigas เจ้าตัวนี้คือผู้ปกครองภูเขา และได้สร้างลูกน้องขึ้นมาสามตัวจาก ดินเหนียว น้ำแข็ง และแม๊กม่านั้นเอง
Regirock
เป็น golem ที่มีรูปร่างเป็นหิน Regirock มีลวดลายอักษร braille บนใบหน้าที่มีลักษณะเป็นอักษรตัวใหญ่ H หินที่อยู่บน Regirockจะมีทีมา
แตกต่างกันไป นี่คือเหตุผลว่า เมื่อใดก็ตามที่ได้รับความเสียหายในต่อสู้มันจะค้นหาหินมาซ่อมแซมตัวเอง นิสัยนี้ยังก่อให้ลักษณะร่างกายที่ดูเหมือนการเย็บปะติดปะต่อกัน
Regice
ชนิด น้ำแข็ง
เป็นโปเกมอนน้ำแข็งชนิดที่ร่างกายประกอบด้วยน้ำแข็งจากแอนตาร์กติกที่มีลักษณะเป็นผลึก หน้ามันมีประกอบด้วยเจุดสีเหลืองเจ็ดจุดในเป็นเครื่องหมาย + Regice มีอุณหภูมิในร่าง -328 องศาฟาเรนไฮต์
สามารถอยู่รอดถ้า แช่ในลาวา เนื่องจากร่างกายที่เยือกเย็นมาก มันสามารถมีชีวิตรอดแม้จะในที่มีอุณหภูมิร้อน
สามารถอยู่รอดถ้า แช่ในลาวา เนื่องจากร่างกายที่เยือกเย็นมาก มันสามารถมีชีวิตรอดแม้จะในที่มีอุณหภูมิร้อน
Registeel
ชนิด เหล็ก
หน้า Registeel ของประกอบด้วยเจ็ดจุดเรียงเป็นรูปหกเหลี่ยม Registeel มีสีดำแขนสามนิ้วแต่ละ Registeel มีขาทรงกระบอก Registeel ถูกจัดเป็นประเภทเหล็กชนิดโปเกมอนร่างกายมีเหล็กหลายชนิดบนโลกมารวมกัน
เหล็กที่ร่างกายมีความแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้ว่าจะคงทนและแข็งอย่างน่าเหลือเชื่อแต่มีความยืดหยุ่นอย่างน่าประหลาดใจ
สามารถติดตาม Regirock Regice Registeel และ Regigigas ได้ในตอนที่ 598 แต่ยังไม่มีแปลไทยนะครับ
____________________________________________________________
9.Lake guardians เทพผู้พิทักษ์ทะเลสาบทั้งสาม
ชนิด พลังจิต
ว่ากันว่ามีที่มาจากไตรราชกกุธภัณฑ์แห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งของวิเศษสามอย่าง
ดาบวิเศษคุซานางิ (草薙剣)
กระจกวิเศษยาตะ (八咫鏡 ยาตะ โนะ คางามิ)
สร้อยลูกปัด ยาซาคานิ (八尺瓊曲玉 ยาซาคานิ โนะ มางาทามะ)
ซึ่งพูดแบบสรุปคือ Yata no Kagami (ภูมิปัญญา) Yasakani no Magatama (เมตตากรุณา) และ Kusanagi (กล้าหาญ) ที่มาของโปเกมอนสามน่าจะมาจากสามสิ่งนี้
Uxie (โปเกม่อนแห่งความรู้)
โปเกม่อนที่ฉลาดที่สุด เป็นผู้สร้างองค์ความรู้ทั้งหมดในโลกโปเกม่อน สร้างภาพหลอนได้วิญญาณ ของ Uxie สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างกายของตัวเองได้โดยไม่เสียชีวิต
Mesprit (โปเกม่อนแห่งอารมณ์/จิตวิญญาณ)
ถอดวิญญาณได้ตาม ต้องการ และสามารถ ดูด วิญญาณหรือ อารมณ์ ความรู้สึกใคร ก็ได้เพียง แค่สัมผัส เท่านั้น Mesprit มี นิสัย ขี้เล่น
Azelf (โปเกม่อนแห่งความต้องการ,ตั้งใจ)
ควบคุมความต้องการของคนอื่นได้ ทำให้ความต้องการของคนหมดไป จนคนนั้นหยุดนิ่งได้
วิญญาณ ของ Azelf สามารถถอดวิญญาณได้เช่นกัน Azelf จะระแวง คนและโปเกมอนรอบๆตัว
ตามตำนานเมื่อ Arceus สร้างจักรวาลจะสร้าง Uxie, Mesprit และ Azelf พวกมันเลยนับถือ Arceus เป็นเสมือนเจ้านาย ซึ่งทั้งสามเกิดจากไข่ใบเดียวกัน
ตามปกติทั้งสามจะอาศัยอยู่ในทะเลสาบ3แห่งของทวีป Sinnoh
____________________________________________________________
10.ตำนานผู้สร้างจักรวาลโปเกมอน มังกรทั้งสาม
Arceus
ในวังวนแห่งความสับสนวุ่นวายและความว่างเปล่า มีไข่หนึ่งใบปรากฎขึ้น และฟักออกมาเป็น อาร์เซอุส
(Arceus) โปเกม่อนตัวแรกผู้เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
(Arceus) โปเกม่อนตัวแรกผู้เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
Dialga (โปเกมอนแห่งเวลา)
ชนิด มังกร เหล็ก
บางคนจะถามว่าเอ้าแล้วเซเรบีละไม่ใช่ควบคุมกาลเวลาได้เหมือนกันเหรอคำตอบไม่ใช่ เซเรบีมีแค่ความสามารถในการท่องกาลเวลา แต่ Dialga มีความสามารถในการควบคุมเวลาเลย โดยทั้งเร่งหรือชะลอ หยุด เวลาได้ Dialga จะอาศัยอยู่ในมิติอื่น เลยไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก ที่รู้มันจะหวงแหบ้านของมันมาก และไม่ถูกกับ Palkia
Dialga มีท่าที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ Roar of Time เสียงคำรามของกาลเวลา คล้ายกับลูเกียที่มีแอร์โรบัสควบคุมกาลเวลาให้ ช้า เร็ว หรือ หยุด ได้
Palkia (โปเกมอนแห่งอวกาศ)
ชนิด มังกร น้ำ
มีความสามารถในการบิดเบี้ยวพื้นที่มิติ เคลื่อนย้ายทุก สิ่งทุกอย่างในอวกาศ ผ่านทางประตูมิติได้ พูดง่ายๆคือสามารถควบคุมพื้นที่มิติได้อย่างอิสระ จะอาศัยอยู่มิติที่ตรงข้ามกับ Dialga เลยไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับมันมากเช่นกัน ที่รู้มันจะหวงแหน
Palkia มีท่าที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ Spacial Rend ผ่ามิติ เคลื่อนย้ายทุก สิ่งทุกอย่างในอวกาศ ผ่านทางประตูมิติได้
Giratina (โปเกมอนแห่งโลกคู่ขนาน)
ชนิด มังกร / วิญญาณ
ควบคุมมิติอื่นๆ นอกเหนือจาก กาลอวกาศ (Time-Space) อาศัยอยู่ในมิติคู่ขนาน โดยทุกสิ่งในโลกคู่ขนานจะสลับตรงข้ามโลกปห่งความเป็นจริงเราจะเห็นได้จากในเกมว่าในโลกคู่ขนาดแรงโน้นถ่วงของโลกจะสลับจากล่างขึ้นไปบนแทนที่บนลงล่างร่าง Giratina มีอยู่ด้วยกันสองร่างคือ Altered Forme(ล่างในภาพ) กับ Origin Forme (บนในภาพ)
โดย Altered Forme คือร่างของมันที่ไม่ได้อยู่โลกคู่ขนานและ Origin Forme ของร่างจริงของมันที่อยู่ในโลกคู่ขนานนั่นเอง
ควบคุมมิติอื่นๆ นอกเหนือจาก กาลอวกาศ (Time-Space) อาศัยอยู่ในมิติคู่ขนาน เช่น มีซ้าย-มีขวา
มี บน-มีล่าง, มีดำ-มีขาว, มีสสาร-มีปฏิสสาร, มีโลก-
มีคู่ขนานของโลก ประมาณว่าของทุกสิ่งมีคู่ของมัน
ที่มาของ ตำนานผู้สร้างจักรวาลโปเกมอน มังกรทั้งสามมาจากความรู้เรื่อง กรวยแสง (The Light Cone หรือ Space-Time Diagrams)
Dialga จะควบคุมแกนตั้ง ขึ้น (อนาคต), ลง (อดีต) หรือ อยู่กับที่ (หยุดเวลา)
Palkia ควบคุมระนาบนอนทั้งระนาบเลย (รวมถึงแกนนอนทั้งสี่แกน)
Giratina อาศัยอยู่ภายใน กรวยบนและกรวยล่าง (โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับแกนเวลา ซึ่ง Dialga ควบคุมอยู) เดินทางระหว่างสองมิติได้
(กรวยทั้งสองเหมือคู่ขนาน กัน) และ ยังสามารถควบคุมมิติภานอกกรวยได้ (โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับระนาบบนแกนนอน ซึ่ง Palkia ควบคุมอยู่)
Arceus สร้างกราฟนี้ขึ้นมา (แค่สร้างแล้วไม่ยุ่งเกี่ยว)
สามารถติดตามเดอะมูฟวี่ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่ครับ
____________________________________________________________
11.Manaphy เจ้าชายแห่งท้องทะเล
Manaphy
Manaphy เจ้าชายแห่งท้องทะแล
ชนิด น้ำ
Manaphy นั้นถูกเรียกว่าเจ้าชายแห่งท้องทะเลเพราะสามารถที่รวมใจของโปเกมอนน้ำให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ Manaphy เนื่องจากร่้างของมันมีปริมาณน้ำเป็นส่วนใหญ่ในร่างกายของมัน ตัวมันเลยสามารถรักษาตัวเองเมื่อฝนตก Manaphy สามารถควบคุมน้ำได้ สามารถเปลี่ยนสลับวิญญาณของคนและโปเกมอนด้วย
กันโดยใช้ Heart Swap สลับจิตใจ ซึงเป็นท่าที่เป็นเอกลักษณ์ของ Manaphy มันสามารถจำถิ่นกำเนิดของมันได้ทั้งที่อยู่ในในไข่หรือถึงจะไม่เคยไปมาก่อนซึ่งก็คือวิหารแห่งท้องทะเล มันจะทำหน้าที่คอยคุ้มครอง มงกฏแห่งทะเลและวิหารใต้สมุทรไว้ Manaphy จะปรากฏตามเมืองในมหาสมุทรที่เย็นของภูมิภาค Fiore แต่ไม่สามารถฟักไข่ได้ที่นี่มันจะสามารถที่จะฟักในภูมิภาค Sinnoh เท่านั้น
กันโดยใช้ Heart Swap สลับจิตใจ ซึงเป็นท่าที่เป็นเอกลักษณ์ของ Manaphy มันสามารถจำถิ่นกำเนิดของมันได้ทั้งที่อยู่ในในไข่หรือถึงจะไม่เคยไปมาก่อนซึ่งก็คือวิหารแห่งท้องทะเล มันจะทำหน้าที่คอยคุ้มครอง มงกฏแห่งทะเลและวิหารใต้สมุทรไว้ Manaphy จะปรากฏตามเมืองในมหาสมุทรที่เย็นของภูมิภาค Fiore แต่ไม่สามารถฟักไข่ได้ที่นี่มันจะสามารถที่จะฟักในภูมิภาค Sinnoh เท่านั้น
Phione
ชนิดน้ำ
ลูกที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง Manaphy และ Ditto อ่อนแอ กว่ามานาฟี่ สามารถปรับร่างกายให้ละลายไปกับน้ำได้ ล่องลอยกับน้ำไปเรื่อยๆ เลยมีส่วนคล้าย Manaphy แต่ไม่ใช่ร่างแรกของ Manaphy มันอาศัยอยู่ในทะเลที่อบอุ่นใน Sinnoh ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน มันก็กลับมาที่ๆมันคุ้นเคย (บ้านเกิด) ได้เสมอ
เหมือน Manaphy
สามารถรับชมเดอะมูฟวี่ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่ครับ